วันจันทร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2561

7 ทริคดูแลผิวหน้าหนาว พร้อมปรับผิวสาวให้สวยเป๊ะตลอดวัน


หน้าหนาวมาถึงเต็มตัวแล้ว ปัญหาเรื่องของผิวแห้งแตกเป็นขุยก็กำลังจะมาเยือนสาว ๆ เช่นกัน ยิ่งถ้าใครที่ผิวแห้งมาก ๆ อาจพบปัญหาแตกเลือดซิบกันเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นเราจึงได้รวบรวมทริคดี ๆ ในการดูแลผิวในช่วงหน้าหนาวมาฝากกัน นอกเหนือไปจากการใช้ครีมบำรุงผิวหน้าแบบทั่วไป มีอะไรบ้างไปดูกันเลยค่ะ
1.ดื่มน้ำเปล่าให้มากๆ เป็นประจำทุกวัน
น้ำเปล่าที่ควรดื่มควรจะอยู่ที่ 8-10 แก้วต่อวัน โดยน้ำที่ดื่มเข้าไปนั้น จะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดให้ดียิ่งขึ้น ทำให้ผิวพรรณดูมีสุขภาพดีจากภายใน และจะช่วยเข้าไปเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ซึ่งจะลดปัญหาผิวแห้งแตกได้
2.ไม่ควรอาบน้ำอุ่นหรือน้ำร้อน
เข้าใจว่าเมื่ออากาศหนาวมาถึง ก็ทำให้หลายคนไม่อยากอาบน้ำเย็นเพราะทนต่อความหนาวไม่ไหว แต่การอาบน้ำอุ่นหรือน้ำร้อนก็ไม่ใช่เรื่องดีเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะทำให้รู้สึกสบายตัว เพราะจะทำให้แรงตึงผิวลดลงไป ทำให้ผิวแห้งมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม บางคนอาจถึงขั้นพบปัญหาผิวหนังอักเสบตามมา
3.ควรเลือกใช้เจลอาบน้ำแทน
เพราะเจลอาบน้ำจะให้ความชุ่มชื้นกับผิวได้ดีกว่าการใช้สบู่ก้อนที่มีฤทธิ์เป็นเบสซึ่งจะทำให้ผิวแห้งมากกว่า หากเป็นไปได้ควรเลือกใช้ครีมอาบน้ำที่มีส่วนผสมของวิตามินอี ซึ่งจะช่วยให้ผิวเนียนนุ่มมากกว่าเดิม และเป็นเกราะป้องกันการแห้งแตกของผิวได้ในระดับหนึ่ง
4.ทาครีมกันแดด
ถึงอากาศจะหนาวเย็นอย่างไร ก็ไม่ควรเลิกทาครีมกันแดดเป็นอันขาด เพราะรังสียูวีสามารถพบได้ทุกที่ และทำลายผิวได้ทุกสภาพอากาศ ถึงแม้ว่าจะอยู่ในออฟฟิศเกือบตลอดเวลา ก็ยังต้องเจอรังสียูวีจากหลอดไฟนีออน และหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่ดี
5.ลดการสครับผิวชั่วคราว
เพราะการสครับบ่อย ๆ จะทำให้ผิวแห้งมากกว่าเดิม ยิ่งถ้าหากไม่ได้ทาครีมบำรุงหลังสครับแล้ว ก็จะยิ่งเห็นผลเสียไวยิ่งขึ้น เมื่ออากาศหนาวมาถึง ควรหยุดหรือลดการสครับชั่วคราวไปก่อน และใช้วิธีทำความสะอาดผิวกายแบบอื่นแทน
6.ใช้คลีนซิ่งแทนการล้างหน้า
เพราะความหนาวของอากาศ ทำให้บางคนไม่สามารถล้างหน้าได้อย่างสะอาดหมดจดเท่าที่ควร ถ้ารู้ตัวว่ามีพฤติกรรมประเภทนี้ ก็ควรหาคลีนซิ่งที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์มาช่วยในการล้างหน้าแทน ซึ่งจะทำให้ระหยัดเวลาได้มากกว่าเดิม
7.วอร์มครีมบำรุงผิวหน้าที่ฝ่ามือทุกครั้งก่อนทา
เพื่อให้ครีมมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น และมีการกระจายเนื้อครีมไปทั่วทั้งฝ่ามือ ซึ่งจะทำให้เนื้อครีมสามารถซึมลงผิวได้ดียิ่งกว่าเดิม และยังช่วยให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
ถึงแม้ว่าจะยังไม่เข้าสู่ช่วงหน้าหนาวอย่างเต็มที่ ก็สามารถทำตามทั้ง ทริคนี้ก่อนได้ เพื่อที่จะได้เป็นการเตรียมพร้อมปรับสภาพผิวให้สู้กับความหนาวเย็นต่อไป

4 ตัวการทำให้เกิดปัญหาถุงใต้ตาบวมที่สาวๆ จัดการได้


ปัญหาถุงใต้ตาบวมเป่ง สาวๆ หลายคนอาจคิดว่ามันเกิดขึ้นเพราะการนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ แต่จริงๆ แล้วนอกจากปัจจัยดังกล่าว ยังมีอีกหลากหลายปัจจัยเลยทีเดียวที่ส่งผลทำให้เกิดปัญหาถุงใต้ตาบวมและยังมีริ้วรอยรอบดวงตาตามมาง่ายๆ ไปดูกันดีกว่านะคะว่ามีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง
1.นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ
สาวๆ ลองสังเกตได้เลยว่าเมื่อไรที่เรานอนพักผ่อนไม่เพียงพอ วันต่อมาเรามักจะมีอาการง่วงนอนสุดๆ โดยร่างกายจะส่งสัญญาณความง่วงคือ อาการหาวออกมานั่นเอง และถ้าหาวเมื่อไรร่างกายของเราก็จะผลิตน้ำตาออกมา เมื่อของเหลวผลิตออกมาในปริมาณที่มากเกินไปที่บริเวณรอบดวงตา ย่อมส่งผลทำให้ความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อในบริเวณรอบดวงตาเกิดความอ่อนแอลง จนทำให้เป็นริ้วรอยรอบดวงตาและถุงใต้ตาง่ายยังไงล่ะ
2.กินอาหารที่มีปริมาณของโซเดียมสูง
หลายคนทราบกันดีแล้วว่าการกินอาหารที่มีโซเดียมสูงจะทำให้ร่างกายเกิดการบวมน้ำ ส่งผลทำให้การลดน้ำหนักเป็นไปได้ยาก หลายคนจึงต้องพลอยงดกินโซเดียมหรือกินในปริมาณที่น้อยลงจริงๆ ถึงจะลดน้ำหนักได้ผลสำเร็จ เช่นเดียวกันกับเรื่องผิวรอบดวงตา หากเรากินอาหารที่มีโซเดียมสูงก็จะทำให้มีน้ำสะสมที่บริเวณใต้ตาง่าย ส่งผลทำให้ตาบวม ถุงใต้ตาก็จะยิ่งบวมเป่งอย่างที่เราเห็นๆ กันนั่นเองค่ะ
3.ทาอายครีมไม่ถูกต้อง
เวลาทาอายครีม สาวๆ บางอาจจะทาที่บริเวณใกล้กับขนตาล่างมากจนเกินไป เมื่อเวลาเรากระพริบตาก็จะทำให้ครีมติดขนขาตามไปด้วย ส่งผลทำให้เกิดความระคายเคืองตาได้ ซึ่งการระคายเคืองนี้ยังมีผลทำให้เกิดอาการบวมและมีถุงใต้ตาตามมาได้อีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้นนะคะ หากสาวๆ ทาอายครีมมากจนเกินไปก็จะทำให้เกิดถุงใต้ตาได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากใต้ตาเป็นผิวที่มีความบอบบางอย่างมาก การทาแบบมากๆ จนทับถมกันจึงมีส่วนส่งผลทำให้มีน้ำหนักที่บริเวณนั้นมากกว่าปกติได้นั่นเอง
4.ดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีน
เพราะการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และคาเฟอีน เครื่องดื่มเหล่านี้ล้วนมีความเข้มข้นสูง และยังมีฤทธิ์ทำให้น้ำในร่างกายลดน้อยลง ทำให้ร่างกายขาดน้ำ ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีนจะดีกว่า ที่สำคัญควรหันมาดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอต่อความต้องการในระหว่างวันด้วยจะดีที่สุด เพื่อเป็นการชำระล้างของเสียออกไป ทำให้ผิวสวยสดใส ไม่มีริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย
ทราบกันไปแล้วนะคะว่าสาเหตุอะไรบ้างที่ทำให้มีปัญหาถุงใต้ตาบวมและยังมีริ้วรอยรอบดวงตาตามมาได้ง่าย จากนี้สาวๆ ก็ปรับปรุงพฤติกรรมกันใหม่ จะได้มีผิวรอบดวงตาสวยสดใส ไร้ปัญหาอีกต่อไป

เทรนด์แต่งหน้า 2018 จาก น้องฉัตร ฉัตรชัย เมคอัพอาร์ทิสต์คิวทอง


"น้องฉัตร ฉัตรชัย เพียงอภิชาติ" เมคอัพอาร์ทิสต์คลื่นลูกใหม่ ชื่อดังติดอันดับ Top 5 ของเมืองไทย ผู้แต่งหน้าแปลงโฉม เปลี่ยนลุคซุปตาร์ คนดังมาแล้วมากมาย เวลานี้ไม่มีใครไม่รู้จัก!
ผ่านพ้นปี 2017 ไปแล้ว อะไรเก่าๆ ที่ไม่ดีก็ลืมมันไป ผู้หญิงยุคใหม่อย่างเรา ต้องมาเริ่มต้นใหม่ ด้วยเทรนด์แต่งหน้า 2018 เริ่ดๆ แต่งยังไงก็รอด จาก "น้องฉัตร" เจ้าของผลงานสไตล์หวาน สวยฉ่ำมีเอกลักษณ์กัน
เทรนด์การแต่งหน้า 2018

Ordinary East = ออดินารี่ เอส ความเป็นชาติตะวันออก การย้อนกลับสู่ความเป็นชาติตะวันออก การไม่ปรุงแต่ง การดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย ให้ความสำคัญกับการสัมผัส ความอยู่เหนือการเวลา ดีไซน์ เดิม ไม่เปลื่ยนแปลง การแต่งหน้าของเทรนด์นี้คือการ เผยผิวสุขภาพดี โทนสีที่ใช้คือ พวกสี เอิร์ธโทน น้ำตาลพระอาทิตย์ สี น้ำตาลแดง สีพีช สีชมพูอ่อน ไม่ติดขนตา ไม่คัดเบ้า ปัดคิ้วแบบธรรมชาติ ปากกลอส
Asian Resonation = เอเชียน รีซอนเนชั่น คือความหวนระลึกถึงอดีต ความเป็นชาติเอเชีย ความแข็งแรง อัตลักษณต่างๆ ที่ได้รับการเปลื่ยนแปลงจากโลกภายนอก การแต่งหน้าของเทรนด์นี้คือ การเขียนอายไลน์เนอร์แบบใหม่ เช่น การเขียน อายไลน์เนอร์สีขาว การเขียนอายไลน์เนอร์ไว้ที่เปลือกตาด้านบน ความเป็นแฟชั่นในยุค 70-80 โทนสีที่ใช้คือน้ำเงิน ฟ้า คราม เขียนคิ้วเข้ม ติดขนตาเป็นช่อๆ

Generation art = เจเนอเรชั่น อาร์ท คือเทรนด์ที่มีการผสมผสานกันระหว่าเจเนอเรชั่นเด็กและผู้ใหญ่ กระตุ้นความน่าสนใจด้วยแมททีเรียลแปลกใหม่ ความไม่ยึดติดในกระแสหลัก โทนสีที่ใช้คือ โทนสีผสม เช่น ชมพู แดง ม่วง ฟ้า มีโทนสี ดำ เทา ทอง เป็น พื้นฐาน การแต่งหน้าของเทรนด์นี้คือ การใช้สีสดใส มาขับเน้นให้ใบหน้าดูโดดเด่น การเล่นกับสีพาสเทล และ การแต่งดวงตาเบาแต่ใช้ลิปสติกสีไวน์แดง 

Man-made Utopia = แมน-เมด อูโทเปีย คือเทรนด์ที่พูดถึงในเรื่องการเน้นตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง การสร้างโลกในอุดมคติ การศัลยกรรม ภาพลวงตา การสรรค์สร้างด้วยธรรมชาติและฝีมือมนุษย์ การแต่งหน้าของเทรนด์นี้คือ พวกสีเมทัลลิก และกลิตเตอร์ พวกกลุ่มโทนสีสังเคราะห์ สีส้มอิฐ ม่วง น้ำตาล ชมพู การคัดเบ้าเปลือกตา การทาสีดวงตาด้วยสีเมมัลลิค การย้อมสีคิ้ว
สรุปเทรนด์สีการแต่งหน้าที่สามารถใช้ได้จริงคือ เทคนิคการแต่งหน้าแบบเผยผิว โทนสีชมพูดูสุขภาพดี ผิวชุ่มชื่นแต่ไม่ฉ่ำวาว ลิปสติกเนื้อมอยเจอร์ไรส์เซอร์ ไม่เขียนคิ้วเข้มจนเกินไป ไม่ติดขนตา แต่งหน้าให้ดูอ่อนเยาว์สดใส
ขอขอบคุณ
ภาพ :nongchat

3 สูตรหน้าใสจากธรรมชาติ พอกหน้าบ่อยๆ ผิวหน้าใสเด้ง


ผู้หญิงกับความสวยความงามเป็นเรื่องคู่กัน โดยเฉพาะความงามของผิวหน้าล้วนเป็นสิ่งที่สาวๆ ทุกคนปรารถนา วันนี้เราเลยไม่รอช้า หยิบเอาสูตรหน้าใสซึ่งเป็นสูตรพอกหน้าจากวัตถุดิบธรรมชาติมาฝาก ต้องทำอย่างไรกันบ้าง อย่ารอช้าเลยค่ะ
1.เปลือกส้ม
ส้ม เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งเปลือกส้มเองก็มีเช่นกัน ดังนั้นกินส้มแล้วห้ามทิ้งเปลือกอย่างเด็ดขาด เพราะเปลือกส้มก็นับว่าเปี่ยมไปด้วยคุณประโยชน์ที่ดีต่อผิวไม่น้อย โดยจะช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใต้ผิว บำรุงผิวให้เปล่งปลั่งกระจ่างใส ช่วยลดรอยสิวและลดการเกิดสิว แถมยังช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้อีกด้วย
วิธีทำ ล้างเปลือกส้มให้สะอาด จากนั้นนำมาบดให้ละเอียดผสมกับน้ำสะอาดเล็กน้อย เสร็จแล้วให้นำมาพอกบริเวณที่เป็นสิวหรือรอยสิว หรือสาวๆ จะนำมาพอกทั้งใบหน้าก็ได้ จากนั้นปล่อยไว้ประมาณ 20-30 นาที ก่อนจะล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำอุ่น ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสูตรหน้าใส เพราะสามารถช่วยในเรื่องการลดสิวและลดรอยสิวได้นั่นเอง
2.มะนาว
มะนาว เป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์เป็นกรด มีคุณสมบัติช่วยกำจัดสิ่งสกปรกที่อุดตันอยู่ในรูขุมขนได้เป็นอย่างดี ซึ่งดีต่อการรักษาสิวและยังช่วยลดเลือนจุดด่างดำรวมถึงลดรอยสิวได้อีกด้วย เพราะกรดจากมะนาวจะเข้าไปกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพแล้วให้หลุดออก จึงทำให้รอยสิวและจุดด่างดำจางลง
วิธีทำ บีบน้ำมะนาว 1 ลูก เตรียมไว้ จากนั้นผสมน้ำเปล่าเพื่อให้กรดจากน้ำมะนาวเจือจางลง ทั้งนี้เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการแสบหรือระคายเคืองอันเนื่องจากปริมาณกรดที่มีสูงเกินไป เสร็จแล้วให้นำมาทาลงบนผิวหน้าแล้วปล่อยไว้ประมาณ 10-15 นาที จากนั้นล้างออกให้สะอาด สูตรพอกหน้าด้วยน้ำมะนาวนี้จัดว่าเป็นสูตรหน้าใสที่จะช่วยรักษาสิว ลดรอยสิวและจุดด่างดำได้ แต่จะต้องหมั่นทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง และควรทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวจากรังสี UV ทุกวันด้วย
3.ว่านหางจระเข้
ว่านหางจระเข้ สมุนไพรที่ดีต่อผิวอย่างมากมาย โดยมีกรดอ่อนๆ ที่จะช่วยลดเลือนความมันส่วนเกินบนใบหน้า มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการติดเชื้อ ช่วยสมานแผล ลดจุดด่างดำ ฝ้าและกระ แถมยังช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวอิ่มเอิบได้อีกด้วย
วิธีทำ นำวุ้นว่านหางจระเข้มาปั่นให้ละเอียดจากนั้นพอกลงบนใบหน้าจนทั่ว ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที เสร็จแล้วล้างหน้าให้สะอาด สูตรพอกหน้าด้วยว่านหางจระเข้นี้สาวๆ สามารถทำได้สัปดาห์ละ 3-4 วันเลยค่ะ สาวผิวแห้งจะช่วยบำรุงผิวให้เนียนนุ่มชุ่มชื้นและมีน้ำมีนวลมากขึ้นแน่นอน
เป็นอย่างไรกันบ้างคะสาวๆ สำหรับสูตรหน้าใสจากธรรมชาติที่เราหยิบมาฝากด้วยกัน ล้วนเป็นสูตรที่ทำง่าย หาวัตถุดิบได้จากสิ่งที่อยู่รอบตัว บอกเลยว่าคุณจะได้ผิวสวยหน้าใสในราคาที่ไม่ต้องจ่ายแพงเลยล่ะ

รวมสูตรพอกหน้า ขัดผิว พอกผิวกาย เพื่อผิวขาวใส ชุ่มชื่นน่าสัมผัส


สาวผิวแห้งมักจะมีปัญหาผิวที่แห้ง หยาบกร้านและหมองคล้ำ ไม่ว่าจะผิวหน้าหรือผิวกายก็ตาม วันนี้เราเลยหยิบสูตรพอกหน้าและสูตรขัดผิว พอกผิวกายมาฝาก ซึ่งจะช่วยบำรุงผิวให้นุ่มชุ่มชื่นและช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใสได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไปดูกันเลยดีกว่าว่าต้องทำอย่างไร
สูตรสำหรับพอกหน้า
สูตร 1 ผิวหน้าเนียนนุ่ม
ส่วนผสม : กล้วยหอม 1/2 ลูก นมสด 1 ช้อนโต๊ะ และไข่แดง 1 ฟอง
วิธีทำ บดกล้วยหอมให้ละเอียด จากนั้นผสมนมสดและไข่แดง คนส่วนผสมทั้งหมดจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำมาพอกหน้าประมาณ 20-30 นาที สาวคนไหนที่ผิวหน้าแห้งจะช่วยให้ผิวหน้าเนียนนุ่มและเด้งมือจนสัมผัสได้เลยล่ะ
สูตร 2 ผิวหน้ากระจ่างใส
ส่วนผสม : กล้วยหอม 1/2 ลูก น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และงา 1 ช้อนชา
วิธีทำ นำส่วนผสมทั้งหมดมาปั่นรวมกันจนละเอียด แล้วนำมาพอกหน้าจนทั่ว ปล่อยไว้ 20 นาที จึงล้างออกให้สะอาดด้วยน้ำอุ่น หมั่นทำเป็นประจำสูตรหน้าใสนี้จะช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น ช่วยชะลอริ้วรอยและช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใสยิ่งขึ้น
สูตร 3 แก้ปัญหาผิวหยาบกร้าน
ส่วนผสม : โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1/2 ถ้วย น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ และอะโวคาโด 1/2 ผล
วิธีทำ นำเนื้ออะโวคาโดมาปั่นพร้อมกับโยเกิร์ตและน้ำผึ้งจนละเอียดกลายเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำมาพอกหน้าประมาณ 20-30 นาที เสร็จแล้วล้างออกให้สะอาดด้วยน้ำอุ่น สำหรับสูตรนี้เป็นสูตรหน้าใสที่จะช่วยผลัดความหยาบกร้านของผิวให้หลุดออกไป ทำให้ผิวหน้าเนียนนุ่มชุ่มชื้น บอกลาความแห้งกร้านได้อย่างเห็นผล แต่จะต้องหมั่นทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
สูตร 4 เติมความชุ่มชื่นให้ผิวมีน้ำมีนวล
ส่วนผสม : ว่านหางจระเข้ 1 ก้าน แตงกวา 1 ลูก และน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ ปอกเปลือกว่านหางจระเข้ออก จากนั้นล้างยางออกให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ส่วนแตงกวาก็ปอกเปลือกและหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เช่นกัน นำส่วนผสมทั้งหมดมาปั่นรวมกันให้ละเอียด จากนั้นนำมาพอกหน้าจนทั่ว ปล่อยไว้ประมาณ 20-30 นาที จึงล้างออกให้สะอาดด้วยน้ำอุ่น สำหรับสูตรนี้ก็ถือเป็นอีกหนึ่งสูตรหน้าใส และยังช่วยเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหน้า สาวผิวแห้งไม่ควรพลาดอย่างเด็ดขาด
สูตรสำหรับพอกผิวกาย
สูตร 1 ผิวขาวกระจ่างใส
ส่วนผสม : มะขามเปียก 1 กำ โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 6 ช้อนชา ผงขัดตัวหรือดินสอพอง 5-6 ช้อนชา น้ำมันมะกอก 1 ช้อนชา น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะและน้ำมะนาว 1 ลูก
วิธีทำ ละลายน้ำมะขามเปียกให้ได้แบบข้นๆ เติมส่วนผสมอื่นๆ ที่เหลือลงไปผสมจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำมาขัดผิวกายและพอกทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที จึงล้างออกให้สะอาด ทำสูตรนี้ได้เป็นประจำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าและช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ
สูตร 2 ผิวขาวผุดผ่องและนุ่มชุ่มชื่น
ส่วนผสม : มะขามเปียก 1 กำ โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย ขมิ้นผง 1 ช้อนชาและน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ ละลายมะขามเปียกให้ได้แบบข้นๆ และเติมส่วนผสมอื่นๆ ลงไปผสมจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำมาขัดผิวกายจนทั่วเรือนร่าง เน้นจุดที่หยาบกร้าน เสร็จแล้วพอกเอาไว้ประมาณ 15-20 นาที ก่อนจะล้างตัวให้สะอาด ผิวพรรณจะขาวผุดผ่องเป็นยองใยทีเดียว หากหมั่นทำเป็นประจำ นอกจากนี้ น้ำผึ้งและโยเกิร์ตก็ยังช่วยบำรุงผิวให้นุ่มชุ่มชื้นขึ้นอีกด้วย
และนี่ก็คือ สูตรพอกหน้าและสูตรขัดผิว พอกผิวกายที่จะช่วยบำรุงผิวให้มีความเนียนนุ่มชุ่มชื้น และยังสามารถเนรมิตผิวให้ค่อยๆ ขาวกระจ่างใสขึ้นได้อีกด้วย สาวๆ คนไหนที่มีผิวแห้งและหยาบกร้าน อย่าลืมนำสูตรเหล่านี้ไปใช้กันนะคะ

รวมไอเดียทรงผมสำหรับสาวผมดำ ดูดีสุดๆ ไปเลย




อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองกันไหม เจ๊อยากให้ซิสๆ ทั้งหลายของเจ๊สวยสะพรึงต้อนรับปี 2018 แบบปังๆ แถมแนบผู้ใหม่กลับไปด้วยอิอิ เจ๊จะพามาดูทรงผม หลากหลายแบบแต่มันเป็นผมสีดำเด้ออ ผมสีดำนอกจากจะทำให้หน้าข้าว ขับผิวแล้วยังทำให้ผมดูสลวยสวยเก๋อีกด้วยยยยนาจา ไม่พูดเยอะ ไปดูกันเล๊ยยยย

20 ผมหน้าม้าดัดลอนหน่อยๆ


19 ม้าเต่อ มัดมวยก็น่ารัก


18 ลอนปลายก็เริ่ด เพิ่มความเซ็กซี่หน่อยๆ


17 มัดครึ่งหัว ทรงยอดฮิต


16 รวบตึงสิคะ เกิดแน่นอน


15 ถักเปียครึ่งหัวก็เก๋ค่ะซิส


14 ผมตรงแสกข้างหน่อย
13 หน้าม้าก็เกิดค่ะซิส


12 ผมสั้นตรงก็เอาเรื่อง
11 ถักเปีย 2 ข้างก็ดูแบ๊วขึ้น


10 หน้าม้า มัดครึ่งนึง ก็ชิคละ


9 ลอนมาม่า ก็เก๋
8 ไม่ตรงไปก็เซอร์ๆ น่ารัก


7 ทรงนี้ก็ดีเว่อร์อ่ะ
6 มัดสองข้าง เพิ่มความหน้าเด็กให้ตัวเอง อิอิ


5 ผมสั้นหน้าม้าก็เกิด


4 หางม้าลอนก็มานาจา


3 หน้ามาแสกกลางก็ดูดีนะ


2 ถักเปียเดียวก็ลกอายุไปอีกวิธี


1 มัดสองข้างกระชากใจไปอี๊ก
เป็นไงกันบ้างคะซิสสสส?! เอาไปเป็น ref ตัวอย่างนาจาา มีแต่ทรงดีๆทั่งน้านนน ผมดำอ่ะเกิด เชื่อเจ๊!! ตัดแล้วก็มาอวดกันบ้างนะอิอิ เจ๊อยากดูววว ไปก่อนแล้วนะ รักนะเด็กๆ 


ขอขอบคุณ
ข้อมูล : mheefriday

16 เทรนด์แฟชั่น ทรงผม และเครื่องประดับ ที่กำลังมาในปี 2018


วันนี้เราก็จะมาอัพเดทเทรนด์แฟชั่น 'แบบทรงผม และเครื่องประดับ' ที่จะเป็นที่นิยมในปี 2018 มาฝากกัน ซึ่งแต่ละทรงนั้นสาวๆ ก็สามารถทำเองได้ง่ายไม่ยุ่งยากเลยล่ะค่ะจะมีไอเดียไหนบ้าง มาดูกันเลย!

1. THE UNDONE BUN สำหรับแบบทรงผมนี้จะเหมาะกับสาวผมยาวค่ะ เพราะสาวๆ จะตัองมัดผมหางม้าเป็นอันดับแรก จากนั้นก็บิดเกลียวผมหางม้าขึ้นไปให้เป็นบัน แล้วสอดปลายในบันก่อนจะดึงผมลงมา พร้อมติดกิ๊บให้แน่น

1514812661 undone bun trick kristin ess the beauty department 670x893บิดผมหางม้าให้เป็นบัน แล้วดึงปลายผมหางม้าลงมา 


2. The Braided Bun เราสามารถสร้างทรงผม Braid Bun หรือผมเปียบันอย่างง่ายๆ ได้ด้วยการถักผมเปียเดียว แล้วม้วนเปียขึ้นไปเป็นผมบัน จากนั้นติดกิ๊บให้แน่น ซึ่งทรงผมนี้ก็จะช่วยให้เราดูทะมัดทะแมง และดูเก๋เลยล่ะค่ะ

1514818942 delpozo bbt s18 012 1512478780
ถักผมเปีย แล้วม้วนเปียขึ้นเป็นบันน่ารักๆ 


3. ริบบิ้นสีดำ ในปี 2018 นี้ การทำผมโดยติดริบบิ้นสีดำจะเป็นที่นิยมอีกครั้งหนึ่ง ด้วยความคลาสสิค และความดูดีจึงทำให้เหมาะกับทรงผมหลายสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นผมหางม้า ผมเปีย หรือผมบัน

1514819074
มัดผมหางม้าแบบต่ำๆ แล้วติดริบบิ้นสีดำ น่ารักแบบเก๋ๆ 


4. Hair Clips ในปีนี้ Hair Clips หรือกิ๊บติดผมก็จะถูกนำมาใช้ในการตกแต่งแบบทรงผมมากขึ้นเลยล่ะค่ะ โดยสาวๆ อาจจะไว้ผมยาวดัดลอน แล้วติดกิ๊บติดผมรูปทรงน่ารักๆ อย่างลายลูกไม้ หรือกลิตเตอร์ก็เป็นได้

1514819257 s rocha bks i rs18 0191 copy 1512474256
เพิ่มความเก๋ ด้วยการติดกิ๊บติดผมน่ารักๆ 

5. The Baby Bun สำหรับทรงผม The Baby Bun นั้นจะเหมาะกับสาวผมสั้น หรือสาวผมบางมากๆ เลยล่ะค่ะ โดยพ้อยท์ของทรงผมนี้ก็คือ การมัดผมบันแบบเล็กๆ ที่ไม่ดูหนาจนเกินไป

1514821354
มัดผมบันแบบเล็กๆ สร้างลุคน่ารักแบบชิคๆ 

6. ผ้าคาดผม ในปีนี้ผ้าคาดผมก็จะเป็นที่นิยมอีกครั้งหนึ่ง โดยเราแนะนำว่าให้เป็นผ้าคาดผมแนวสปอร์ต หรือแนวยุค 90's ก็จะช่วยให้ลุคดูดีมีสไตล์มากขึ้น โดยสาวๆ อาจจะทำคู่กับการปล่อยผมพลิ้วๆ หรือผมหางม้าก็เป็นได้

1514821675
ผ้าคาดผมแบบเรียบๆ โทนสีดำ ได้ลุคสวยมีสไตล์แบบยุค 90's 

7. ตกแต่งผมด้วยที่หนีบผมรูปทรงเก๋ๆ แม้ว่าการใช้ที่หนีบผมจะเป็นที่นิยมทุกปี แต่ในปีนี้แนะนำว่าให้สาวๆ เลือกที่หนีบผมที่มีดีไซน์แบบเก๋ๆ หรือลวดลายแบบน่ารักมาประดับคู่กับทรงผมเลยล่ะค่ะ

1514821768 hair trends 2018 urban outfitters 1512478683
ตกแต่งด้วยที่หนีบผมรูปทรงน่ารักๆ 

8. Banana Bun สำหรับทรง Banana Bun นี้จะเป็นการมัดผมบันแบบหลวมๆ แล้วดึงผมบันให้เป็นรูปเรียวๆ เหมือนรูปทรงกล้วย โดยต้องพยายามดึงไม่ให้ดูยุ่งมากเกินไป

1514822764
ม้วนเป็นบันแบบหลวมๆ รูปทรงคล้ายกล้วยหอม 

9. ประดับผมด้วยห่วงแบบต่างๆ ไม่ว่าสาวๆ จะปล่อยผม มัดผมหางม้า หรือถักเปีย แนะนำว่าการประดับผมด้วยห่วงทั้งแบบวงกลม หรือแบบรูปทรงเรียวๆ ก็จะเป็นที่นิยมในปีนี้เช่นเดียวกันเลยล่ะค่ะ

1514822865
ประดับผมด้วยห่วง ช่วยให้ลุคดูเก๋มีสไตล์ 

10. Awkward Peach สำหรับโทนสีผมที่กำลังจะเป็นที่นิยมในปี 2018 หนึ่งในนั้นก็จะเป็นโทนสีพีชที่เป็สนการผสมระหว่างสีบลอนด์ และสีชมพูเลยล่ะค่ะ โดยจะต้องเป็นเฉดสีที่ไม่เด่นไปทางสีใดสีหนึ่งมากเกินไป

1514823348
โทนสีพีชที่ผสมระหว่างสีชมพูอมส้ม และสีบลอนด์ 

11. Blair Waldorf headbands เทรนด์ปีนี้ที่คาดผมก็จะเป็นที่นิยมในหลายแบบเลยล่ะค่ะ ซึ่งเจ้า Blair Waldorf Headband ซึ่งเป็นที่คาดผมแนวหวานๆ แต่ดูหรูหราสไตล์เจ้าหญิงก็กำลังจะเป็นที่นิยมเลยล่ะค่ะ ซึ่งชื่อไอเทมนี้ก็มาจากชื่อของแบลร์ วอลดอร์ฟ ในซีรี่ส์เรื่อง Gossip Girl ซึ่งเธอนิยมใส่ที่คาดผมสไตล์นี้นั่นเองสำหรับสาวๆ คนไหนที่อยากสร้างลุคให้ดูหวานก็ลองเลือกมาตกแต่งทรงผมกันเลย!

1514823495 zara hair trends 2018 1512472966
ที่คาดผมแนวหวานๆ ที่ดูหรูหราสไตล์เจ้าหญิง 

12. The Sweater Tuck สำหรับทรงนี้ เรียกว่า ต้องใช้อากาศมาเป็นตัวช่วยเลยล่ะค่ะ เพราะทรงผมนี้จะเป็นการปล่อยผม แล้วใช้เสื้อสเวตเตอร์คอเต่าสวมคลุมเส้นผมอีกที นอกจากจะเป็นทรงที่ดูเก๋แล้ว ยังทำง่ายแบบสุดๆ อีกด้วย

1514823611
ทรงผมแบบง่ายๆ ที่ทำเองได้ไม่ยุ่งยาก 

13. Rainbow Braids สำหรับสาวๆ คนไหนที่ชอบความแซ่บ ความซน ก็ต้องบอกเลยว่าทรงผมนี้รับประกันความมั่นได้แบบสุดๆ กับทรงผมเปียที่ย้อมผมสไตล์สีเรนโบว์ หรือผมเปียสีรุ้งแบบหลายสี ช่วยให้ลุคดูสดใสแถมดูแซ่บแบบสุดๆ

1514823767
ถักเปียแบบซนๆ คู่กับการทำผมโทนสีเรนโบว์แบบสดใส 

14. Dark Chocolate แม้ว่าในปีนี้โทนสีผมแบบการย้อมโคนผมสีเข้ม ปลายสีอ่อนจะเป็นที่นิยม แต่การทำสีผมโทนเข้มแบบธรรมชาติก็เริ่มกลับมาฮอตอีกครั้งหนึ่งแล้วล่ะค่ะ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือผมสี Dark Chocolate หรือผมสีน้ำตาลช็อกโกแลตแบบเข้มๆ นั่นเอง

1514823987
ผมสีเข้มๆ แบบธรรมชาติจะช่วยให้ลุคของสาวๆ ดูอ่อนเยาว์มากขึ้น 

15. Caramello ในปีที่แล้วผมสี Ice-White Blondes หรือผมสีบลอนด์สีขาวแบบน้ำแข็งนั้นเป็นที่นิยมมากๆ แต่ในปีนี้ก็จะเปลี่ยนเป็นผมสีบลอนด์เฉดคาราเมลหวานๆ ที่ให้ลุคดูไบรท์น่ารัก

1514824166
ผมสีบลอนด์เฉดคาราเมลแบบหวานๆ ช่วยให้ลุคดูน่ารักแบบซอฟต์ๆ 

16. Embellished Barrettes สำหรับสาวๆ คนไหนที่อยากตกแต่งทรงผมให้ดูน่ารัก ก็ขอแนะนำอีกหนึ่งเครื่องประดับทรงผมแบบเก๋ๆ ที่กำลังจะเป็นที่นิมยมเลยล่ะค่ะ กับ กิ๊บติดผมแบบที่ประดับประดากลิตเตอร์ หรือคริสตัลวิ้งวับ

1514824388
ใช้กิ๊บติดผมแบบที่ประดับคริสตัล หรือเครื่องประดับแบบเก๋ๆ วิ้งวับ เป็นไงบ้างคะสาวๆ ในปีนี้การทำผมบันหลายแบบก็จะเป็นที่นิยมมากขึ้นเลยล่ะค่ะ และถ้าใครอยากเพิ่มความน่ารัก ความเก๋ให้กับแบบทรงผม ก็สามารถเลือกกิ๊บติดผม หรือที่หนีบผมแบบเก๋ๆ ที่เราแนะนำไปลองตกแต่งผมกันเลย!

ขอขอบคุณ
ข้อมูล :DearZuffi